สองสาวพี่น้อง ไวโอลิน-เชลโล่ขั้นเทพ แห่งฟุตปาธแฟมิลี่ กับมุมฮาๆรั่วๆ ที่ทำให้คุณยิ้มได้
มีโอกาสได้ตามมาดูสองสาวทายาทฟุตปาธเล่นเครื่องดนตรีคู่กายแบบสดๆ Tickettail ก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปนั่งจับเข่าเม้าธ์มอยกับสาวๆเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของเธอทั้งคู่นะคะ (ถึงจะมีเคลิ้มๆจนเกือบลืมสัมภาษณ์ไปบ้าง อิอิ)
ปิ๊ก: ปิ๊กค่ะ (คนขวา) เล่นเชลโล่ (ยิ้ม)
เปรียว: คือเราสองคนเล่นเปียโนมาก่อน ตั้งแต่ตอน 7 ขวบ เนอะ (หันไปถามหน้าน้องสาว) แต่ก็ยังไม่ได้เก่งอะไร เหมือนเรียนเป็นพื้นฐานมากกว่า (พูดพร้อมกัน) แล้วพอเปรียวอายุประมาณ 10 ขวบก็เริ่มเล่นไวโอลินเพราะได้ไปเห็น Vanessa Mae ตอนนั้นเค้าดังมาก จุดประกายเราเลย เราอยากเป็นได้อย่างคนนี้ ก็เลยไปเริ่มเรียนไวโอลินตั้งแต่นั้นมาเลยค่ะ พอได้เริ่มเรียนก็รู้สึกรักมันชอบมัน ยิ่งซ้อมยิ่งได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ จนมุมานะเรียนจนตอนนี้ก็จบปริญญาโทด้านไวโอลินแล้ว (หัวเราะ)
เปรียว: จริงๆคือเรารักในสิ่งนี้ แล้วเราหาเวลาว่างซ้อมมันได้ตลอดอยู่แล้วค่ะ อย่างเปรียวเรียนดุริยางค์ที่มหิดลเงี้ย เวลาซ้อมเค้าจะให้เต็มแบบเกินครึ่งด้วยซ้ำของวิชาเรียน วิชาการเราก็เรียนแต่เค้าไม่ได้เน้น เราก็เลยแบ่งเวลาซ้อมได้ง่ายขึ้น พอว่างปุ๊บเราก็มาแตะไวโอลินวันละ 2-4 ชั่วโมงอ่าค่ะ
เปรียว: ถ้าว่างจากดนตรีแล้วเราก็ทำอะไรไร้สาระเลย เนอะ (หันไปมองหน้าน้องสาวแล้วหัวเราะพร้อมกัน) ปิ๊ก: ก็เหมือนคนทั่วไป อ่านนิยายออนไลน์ นั่งเล่นเฟซบุ๊ค ชอบมากสุดคือไปดูหนังค่ะ อย่างงานหนังสือเราก็ไปกันทุกปี เนอะ (หันไปมองหน้าพี่สาว) ปีละหลายครั้ง ก็จะเจอเราทุกครั้ง (หัวเราะ) เปรียว: อย่างเปรียวจะชอบอ่านหนังสือ แนวสืบสวนสอบสวน ฆาตกรรม (หัวเราะ) นิยายรักก็อ่าน อ่านหมดเลยทุกแนว ไปงานหนังสือทุกปี ไปทีไรก็หมดตูดอ่ะ (หัวเราะรัว) ไปตลอด ซื้อมาเยอะ แต่ไม่เคยอ่านจบ ปิ๊ก: ส่วนปิ๊กชอบฟังเพลง ส่วนใหญ่จะฟังเพลง ไม่ได้เกี่ยวกับคลาสสิคที่เรียนเลย คนจะชอบมองว่าเรียนคลาสสิคก็คงจะชอบฟังแต่คลาสสิคอะไรอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ เราฟังหมด ป๊อป เกาหลี (หัวเราะ) ฟังหมดเลย
เปรียว: โอ้โห… ปิ๊ก: พี่เปรียวไปอียิปต์ชัวร์อ่ะ (หัวเราะ) เปรียว: ช่ายยย ก็คงจะไปอียิปต์อ่าค่ะ จนน้องเรียกมัมมี่แล้วเนี่ย (หัวเราะ) ชอบอียิปต์ อ่านหนังสือทุกอย่างเกี่ยวกับอียิปต์ ชอบความลี้ลับ ชอบอ่านประวัติศาสตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตส่งผลยังไงมาถึงคนในปัจจุบัน
เปรียว: อารยธรรม (หัวเราะ) ชอบมากเลย ตั้งแต่เด็กเลย มันเป็นการ์ตูนเรื่องคำสาปฟาโรห์ บอกอายุเนอะ มันนานมาก (หัวเราะ) คือแบบว่า ชอบมากกก ชอบตั้งแต่นั้น ชอบปีระมิด ชอบซากศพมัมมี่ อ่านทั้งการ์ตูน หนังสือวิชาการ ดูหนังมัมมี่ เป็นความฝันเลยว่าอยากไปอียิปต์ แต่ช่วงนี้ไปไม่ได้ อียิปต์การเมืองไม่ดี เดี๋ยวไปแล้วถูกจับเป็นตัวประกัน (หัวเราะ)
เปรียว: จริงๆตอนนี้พี่เพิ่งมีลูกศิษย์อายุประมาณเกือบ 40 มาคนนึง มาเรียนกับพี่ พี่ว่าดนตรีเปิดรับทุกวัยนะ ไม่จำเป็นต้องอายุเท่าไหร่ ถ้าเราอยากเรียนจริงๆก็มาได้ ปิ๊ก: คนที่เค้าเรียนตั้งแต่เด็กอาจจะเป็นเพราะเค้าอยากจะมุ่งตรงมาทางนี้ไง แต่ถ้าจะเล่นเป็นงานอดิเรก เป็นความสุขของเรา อายุเท่าไหร่ก็ได้หมดแหละ
เปรียว: หูยยย ไม่ถึงขั้นเปิดสถาบันสอนหรอกค่ะ (หัวเราะ) จริงๆเราสองคนสอนอยู่ที่บ้านค่ะ ตอนนี้พี่เป็นอาจารย์สอนไวโอลินที่เอแบคด้วย ถ้าแบบว่ามีคนสนใจอยากมาเรียนก็มาเรียนได้ บ้านอยู่บางบัวทอง! ไกลหน่อย (หัวเราะ) ตอนนี้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆมากกว่า
ปิ๊ก: ส่วนใหญ่ตอนนี้เด็กๆเค้ามาเรียนเสาร์-อาทิตย์นะ เรียนกันอาทิตย์ละ1 ชั่วโมง เราก็ให้การบ้านเค้ากลับไปซ้อมหลังเลิกเรียนจันทร์ถึงศุกร์ พอเสาร์อาทิตย์ก็มาส่งการบ้านครูว่าเล่นได้รึยังอะไรอย่างนี้
ปิ๊ก: ก็เข้ามาดูแฟนเพจของเราก็ได้ค่ะ www.facebook.com/footpathtrio เปรียว: ส่วนค่าชั่วโมงเราก็พยายามคิดเป็นเรทสแตนดาร์ด แบบไม่แพงมาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้ที่อื่นเค้าก็สตาร์ทกันชั่วโมงละพันอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่อยากให้มันถึงอย่างนั้น ปิ๊ก: ของเราก็ไม่ได้เก็บล่วงหน้า เป็นคอร์สแบบ จ่ายล่วงหน้าสามเดือนก่อนอะไรอย่างนี้อ่าค่ะ เปรียว: ใช่ค่ะ เพราะว่าตอนนั้นที่เราเรียน เราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก็ปากกัดตีนถีบด้วยซ้ำ คือชั่วโมงละ 500 ตอนนั้น เกือบ 20 ปีที่แล้วเนี่ย มันหนักนะ แล้วเราเรียนสองคนก็พันนึงแล้ว ปิ๊ก: อย่างตอนที่ปิ๊กกับพี่เปรียวเพิ่งสอนแรกๆช่วงประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว พวกเราก็เริ่มสตาร์ทที่ 500 เพราะอยากจะให้มันได้เรทสมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถ้าสตาร์ทพันนึงเด็กไม่ไหว แล้วก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ให้เด็กเค้าไหวด้วย
ปิ๊ก: ก็พี่เปรียวก็สอนไวโอลิน ปิ๊กก็สอนเชลโล่ จริงๆเมื่อก่อนปิ๊กเคยสอนฟลุทด้วย
ปิ๊ก: ใช่ค่ะ ค่อนข้างบังคับให้เค้ามี เพราะถ้าไม่มีเค้าก็จะไม่ได้ซ้อม พอไม่ซ้อมเค้าก็จะไม่มีพัฒนาการ เปรียว: พอเรียนแล้วเด็กไม่พัฒนา เราก็จะรู้สึกสงสารพ่อแม่นะลูก เสียดายตังค์ (หัวเราะ)
เปรียว: สำหรับเปรียว เปรียวคิดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นดนตรีหรืออะไรเลย เป็นอะไรก็ได้ที่คุณชอบ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องไร้สาระ ต้องทำให้มันมีสาระขึ้นมาให้ได้ สมมุติคุณชอบเกมเนี่ย คุณก็ตั้งเป้าไว้สิว่าอนาคตอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ ถูกมั้ยคะ ให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา ไม่ใช่แบบชอบอะไรแต่ว่าชอบแปปๆเลิก เด็กสมัยนี้สมาธิสั้นนะ เล่นอะไรได้แปปเดียวก็เลิกละ อันนั้นมันจับจุดทำอะไรไม่ได้ ถ้าชอบอะไรมุ่งไปทางนั้นเลย! ขอแค่นี้แหละ ปิ๊ก: สำหรับปิ๊กก็ถ้าจะบอกว่าหาเวลาว่างมาเรียน คนเดี๋ยวนี้จะชอบบอกว่าไม่มีเวลา เพราะวันทั้งวัน เอาจริงๆ เฟซบุ๊คทั้งวัน รู้ตัวอีกทีก็สายแล้วดึกแล้ว คนก็เลยบอกว่าไม่มีเวลาว่างเลย เอาไปใช้กับเรื่องไร้สาระหมดเลย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเวลาว่างอ่ะมี มีเยอะด้วย ถ้าเอาตัวเองออกมาจากคอมนะ ยิ่งเดี๋ยวนี้นะ นอกจากคอมพิวเตอร์ ยังมีแทปเล็ต มือถือ กับอุปกรณ์อีกมากมาย ซึ่งเราเอามันไปใช้ประโยชน์ได้ ใช้ในการสื่อสาร อ่านหนังสือ แต่อย่าเอาตัวเองไปผูกติดกับเครื่องพวกนี้มากเลย มันจะทำให้อนาคตดูน่ากลัว เหมือนเรียนจบมา เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีงานยอมรับ เพราะเราไม่เป็นที่ต้องการของที่ไหนเลย ไม่ต้องดนตรีหรอก อะไรก็ได้ หาจุดเด่นในตัวเอง ความชอบของตัวเอง หาให้เจอแล้วเราจะมีคุณค่าขึ้นมา เราจะรู้สึกภูมิใจกับมัน
เปรียว: หือ…. ยากนะ (คิดหนัก) “ให้ตัวตน” ให้พี่เป็นพี่ทุกวันนี้… เพราะทุกวันนี้ ทุกคนที่รู้จักปิ๊กกับเปรียว ก็จะพูดถึงแต่ดนตรี เพราะฉะนั้นดนตรีคือจุดเริ่มต้นตั้งแต่ที่เรายังไม่เป็นอะไรเลย จนถึงตอนนี้เราก็เป็นอาจารย์แล้ว แล้วก็ยังวนเวียนอยู่กับดนตรี ก็คิดว่าน่าจะเป็นการมอบตัวตนที่แท้จริงกับพวกเราอ่าค่ะ ปิ๊ก: “ให้ชีวิต” ค่ะ เหตุผลเดียวกับพี่เปรียว ดนตรีเป็นชีวิตจิตใจของปิ๊กเลยค่ะ
|
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!